ข่าวประชาสัมพันธ์ 15 -28 กุมภาพันธ์ 2565

สำนักงานประสัมพันธ์จังหวัดชลบุรี

โทรศัพท์/โทรสาร 038 - 279448  www.chonburipr.net

ประชาสัมพันธ์ระหว่างเดือน กุมภาพันธ์ 2565

******************************************************************

เกษตรชลบุรี เตรียมจัดงานคลินิกเกษตรเคลื่อนที่ในพระราชานุเคราะห์ฯ ครั้งที่ 1 ปี 2565

            นายบุญลือ คงสูงเนิน เกษตรจังหวัดชลบุรี เปิดเผยว่า กรมส่งเสริมการเกษตร กำหนดจัดโครงการคลินิกเกษตรเคลื่อนที่ในพระราชานุเคราะห์ฯ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ครั้งที่ 1 เพื่อให้บริการแก่เกษตรกร ในการแก้ไขปัญหาด้านการผลิตทางการเกษตรอย่างรวดเร็ว รวมถึงการถ่ายทอดเทคโนโลยีและฝึกอบรมความรู้การเกษตรเสริมเพิ่มเติมควบคู่กันไปด้วย และเป็นการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยสามารถเคลื่อนที่เข้าไปได้ถึงในระดับตำบลเพื่อให้เกษตรกรสามารถเข้ารับบริการทางการเกษตรได้อย่างถูกต้องครบถ้วนทุกด้านในคราวเดียวกัน

          สำหรับการจัดงานคลินิกเกษตรฯ ครั้งที่ 1 ปี 2565 กำหนดจัดขึ้นในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2565 ณ โรงเรียนวัดหนองยาง ตำบลหนองบอนแดง อำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี มีเป้าหมายผู้เข้าร่วมงานจำนวน 300 ราย สำหรับการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ เป็นการให้บริการของคลินิกเกษตรเคลื่อนที่ อาทิ คลินิกดิน คลินิกพืช คลินิกปศุสัตว์ คลินิกประมง คลินิกชลประทาน คลินิกสหกรณ์ คลินิกบัญชี คลินิกกฎหมาย คลินิกข้าว เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมอื่นๆ เช่น การฝึกอาชีพด้านการเกษตร การออกร้านจำหน่ายสินค้าของกลุ่มแม่บ้าน วิสาหกิจชุมชน และเกษตรกรในพื้นที่ จึงขอเชิญชวนพี่น้องเกษตรกรที่สนในเข้าร่วมงานในวัน และสถานที่ดังกล่าว ตั้งแต่เวลา 08.30 น. เป็นต้นไป ทั้งนี้ การจัดงานยังคงยึดปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 อย่างเคร่งครัดอีกด้วย

ปริญญา/ข่าว

************************************************

“อมตะ” มั่นใจหลังรัฐผ่อนปรนมาตรการ Test & Go สัญญาณบวกดึงลงทุนต่างชาติเข้าไทยปี’65 เพิ่ม

         “อมตะ” เตรียมพร้อมรับนักลงทุนต่างชาติเข้าไทยปี 2565 หลังภาครัฐผ่อนปรนมาตรการ Test & Go โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ โลจิสติกส์ อิเล็กทรอนิกส์ เคมิคอล ฯลฯ วางเป้าหมายยอดขายที่ดินทั้งกลุ่ม 1,000 ไร่ โชว์ศักยภาพพื้นที่นิคมฯในประเทศ 1.4 หมื่นไร่รองรับ แถมยังมีอมตะ สมาร์ท แอนด์ อีโค ซิตี้ ที่ สปป.ลาว กำลังเตรียมพร้อมเสริฟให้นักลงทุนทั้งไทยและเทศเป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพสูง

 

           นายวิบูลย์ กรมดิษฐ์ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่การตลาด บมจ.อมตะ คอร์ปอเรชัน (AMATA) เปิดเผยว่า จากการที่รัฐบาลมีมาตรการผ่อนคลายเพื่อให้เกิดการเดินทางเข้าประเทศของคนต่างชาติ ด้วยระบบ เทส แอนด์ โก (Test & GO) นับเป็นสัญญาณบวกต่อการท่องเที่ยวและการลงทุนที่จะเกิดขึ้นใน ปี 2565 โดยล่าสุดนักลงทุนเริ่มทยอยเข้ามาติดต่อ เจรจา เพื่อขอศึกษาและดูพื้นที่จริงหลังจากปีที่ผ่านมาไม่สามารถเดินทางเข้ามาประเทศไทยได้ ซึ่งนักลงทุนส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ โลจิสติกส์ อิเล็กทรอนิกส์ เคมิคอล และผู้ผลิตเครื่องมือและอุปกรณ์ต่างๆ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่สอดคล้องกับนโยบายส่งเสริมการลงทุนของไทย

        “ นิคมอุตสาหกรรมอมตะฯ มีความพร้อมรองรับการเข้ามาลงทุนและขยายการลงทุน ด้วยพื้นที่ที่มีกว่า 14,000 ไร่ แบ่งเป็นนิคมอุตสาหกรรม พื้นที่พาณิชยกรรม พื้นที่ดินที่ยังรอการพัฒนา โดยเป็นพื้นที่ของนิคมฯ อมตะซิตี้ชลบุรี 9,800 ไร่ และที่เหลือเป็นของนิคมฯ อมตะซิตี้ระยอง 2,400 ไร่ ซึ่งเพียงพอต่อความสนใจของนักลงทุนที่จะเข้ามา โดยปี 2565 กลุ่มอมตะได้ตั้งเป้าหมายยอดขายที่ดินไว้ที่ 1,000 ไร่ ” นายวิบูลย์กล่าว

          นอกจากนี้อมตะฯ ยังมีนิคมอุตสาหกรรมที่เปิดใหม่ใน สปป.ลาว หรือ อมตะ สมาร์ท แอนด์ อีโค ซิตี้ (AMATA SMART & ECO CITY) ด้วยพื้นที่ 410 เฮกเตอร์ หรือจำนวน 2,562.5 ไร่ ซึ่งบริษัทฯ พร้อมเข้าไปพัฒนา โดยอาศัยฐานจากนักลงทุนของอมตะที่มีการลงทุนอยู่แล้ว ที่อยู่ในไทยและเวียดนามกว่า 1,400 โรงงาน รวมถึงนักลงทุนที่เคยประสงค์ลงทุนในเมียนมา แต่ติดปัญหาทางการเมืองไม่สามารถเข้ามาลงทุนได้ จึงใช้ลาวเป็นฐานในการขยายการผลิต เพื่อใช้ระบบโลจิสติกส์ รถไฟฟ้าความเร็วสูงลาว-จีน ซึ่งมั่นใจว่าเป็นพื้นที่มีศักยภาพอีกแห่งหนึ่งของกลุ่มในภมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้

         “การเปิดนิคมอมตะซิตี้ที่ประเทศลาว ถือเป็นโอกาสที่ดีเลยสำหรับแผนการลงทุนของอมตะ ด้วยศักยภาพของพื้นที่ถือเป็น Asset และสินทรัพย์ที่มีคุณภาพ มั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับดี โดยดูจากเป้าหมายการเติบโตของประเทศ (GDP) ที่คาดว่าจะอยู่ที่ 4% จะทำให้ความเคลื่อนไหวการลงทุนมีมากขึ้น” นายวิบูลย์กล่าว

ปริญญา/ข่าว

*********************************

เติมรักให้กัน ยิ่งให้ ยิ่งได้ใจ เดือนแห่งความรัก ชวนคนที่รัก กุมมือกันมาบริจาคโลหิต ช่วยผู้ป่วยทั่วประเทศ

         ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย เชิญชวนคู่รัก คู่จิ้น คู่ฟิน กุมมือกันมาเป็นคู่ เป็นกลุ่ม      หรือเป็นครอบครัว ร่วมแบ่งปันความรักให้เพื่อนมนุษย์ด้วยการบริจาคโลหิต ในโครงการ "เติมรักให้กัน ยิ่งให้ ยิ่งได้ใจ" ตลอดเดือนกุมภาพันธ์ 2565 โดยกระจายความรัก ไปทั่วทุกพื้นที่ ใกล้ที่ไหน บริจาคได้ที่นั่น ในโรงพยาบาลประจำจังหวัดพื้นที่ของตนเอง ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ ในพื้นที่ของตนเอง

         รศ.พญ.ดุจใจ ชัยวานิชศิริ ผู้อำนวยการศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย กล่าวว่า ในเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี มีเทศกาลวันวาเลนไทน์ หรือวันแห่งความรัก ซึ่งหลายๆ ท่าน มักใช้โอกาสนี้ แสดงความรัก ความห่วงใย และความรู้สึกดีๆ ให้กัน การบริจาคโลหิต เป็นอีกหนึ่งรูปแบบของการแสดงออกถึงความรัก ที่มีต่อเพื่อนมนุษย์ สามารถแบ่งปันได้ทุกวัน ด้วยการเป็น “ผู้ให้” โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน และเพื่อบรรเทาภาวะการขาดแคลนโลหิต ในสถานการณ์ COVID-19 ระลอกใหม่ ที่กำลังระบาดขณะนี้ เพื่อจ่ายให้กับโรงพยาบาลใช้รักษาผู้ป่วยทั่วประเทศ

           พิเศษสุด! มาร่วมลุ้นเป็นเจ้าของตุ๊กตาน้องหมี “Big Bear” มากถึง 50 รางวัล มีกติกาง่ายๆ เพียง 1.เป็นผู้บริจาคโลหิตทั่วประเทศ พร้อมโพสต์ภาพถ่ายบัตรผู้บริจาคโลหิตด้านหลัง แสดงวันที่บริจาคโลหิตชัดเจน ลง Facebook Fanpage: ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ใน Comment แบนเนอร์กิจกรรม และ2.ติดแฮชแท็ก #เติมรักให้กัน สุ่มแจกตุ๊กตา “Big Bear” ส่งฟรีถึงบ้าน

        ประกาศผลผู้โชคดี ในวันศุกร์ที่ 4 มีนาคม 2565 ทาง Facebook Fanpage : ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย

ปริญญา/ข่าว

*********************************************

กรมทางหลวงจัดประกวดภาพถ่ายภายใต้หัวข้อ “มองทางผ่านเลนส์ 361 องศา”

      นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า กรมทางหลวง (ทล.) ได้จัดโครงการประกวดภาพถ่ายในหัวข้อ “มองทางผ่านเลนส์ 361 องศา” เพื่อให้ประชาชนได้รับรู้และเข้าใจ

ในบทบาทภารกิจของ ทล. และเปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการสะท้อนมุมมองที่สื่อถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ ทล. มีส่วนในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และเทคโนโลยี ให้มีความเจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืน

          นอกจากนี้ ยังเป็นการสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในการดำเนินงานของทล. ผ่านการถ่ายภาพ โดยภาพถ่ายที่ส่งเข้าประกวดต้องเป็นภาพทางหลวง สะพาน หรือโครงการก่อสร้างของทล.รวมถึงสิ่งปลูกสร้าง อุปกรณ์อำนวยความสะดวก ความปลอดภัย ในเขตทางหลวง เช่น ศาลาทางหลวง หลักกิโลเมตร ป้ายต่าง ๆ เป็นต้น โดยเป็นภาพภายใต้แนวความคิด “มองทางผ่านเลนส์ 361 องศา” สื่อถึงการพัฒนาโครงข่ายทางหลวงทั่วประเทศ ที่เชื่อมโยงระบบการคมนาคมขนส่งทั้งทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ และทางราง สนับสนุนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม เทคโนโลยี การท่องเที่ยว และความมั่นคง รวมถึงการเกื้อหนุนซึ่งกันและกันระหว่าง ทล. ประชาชน ภาครัฐ และเอกชน ทั้งนี้ ภาพถ่ายจะต้องเป็นถนนหรือสะพานในความรับผิดชอบของ ทล. เท่านั้น

          สำหรับรางวัลในโครงการประกวดภาพถ่ายในหัวข้อ “มองทางผ่านเลนส์ 361 องศา” นั้น

ทล. ได้แบ่งรางวัลเป็น 2 ประเภทพร้อมเกียรติบัตร ได้แก่ ประเภทภาพถ่ายจากกล้องดิจิตอล และประเภทภาพถ่ายจากอากาศยานไร้คนขับ (โดรน) โดยทั้ง 2 ประเภท ประกอบด้วย รางวัลชนะเลิศ เงินรางวัล 50,000 บาท รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 1 เงินรางวัล 30,000 บาท รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 2 เงินรางวัล 10,000 บาท และรางวัลชมเชย 5 รางวัล เงินรางวัล 5,000 บาท รวมเงินรางวัลทั้งสิ้น 230,000 บาท โดยผู้สนใจเข้าร่วมโครงการสามารถศึกษารายละเอียดและดาวน์โหลดใบสมัครได้ที่เว็บไซต์ www.doh.go.th และส่งผลงานได้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 - 15 มิถุนายน 2565 ประกาศผลการตัดสินภายในเดือนกรกฎาคม 2565 โดยถือวันประทับตราไปรษณีย์เป็นสำคัญ

ปริญญา/ข่าว

********************************

คนทำงานปฏิบัติตัวอย่างไร ให้ปลอดภัยจาก COVID-19

        กรมการแพทย์ โดยโรงพยาบาลนพรัตนราชธานี ได้แนะนำแนวทางการปฏิบัติเพื่อการป้องกันโรคโควิด 19 สำหรับคนทำงาน เพื่อป้องกันตนเองจากการเจ็บป่วยและลดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิต

       นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า การไปทำงานหมายถึงการเดินทางจากบ้านไปยังที่ทำงาน ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับคนในที่ทำงานใช้ชีวิตในสถานที่ทำงานนั้น จึงมีคำแนะนำในช่วงโรคระบาดให้อยู่บ้าน หรือทำงานจากบ้าน ถ้าจำเป็นต้องไปทำงาน สิ่งที่ทุกคนทำงานต้องทำเป็นสิ่งแรกคือ ไปฉีดวัคซีน ตอนนี้มีการจัดสรรให้จนถึงฉีดเข็มที่สามคือเข็มกระตุ้นภูมิหลังฉีดครบ 2 เข็มแล้วถือเป็นหน้าที่สำคัญ แต่สิ่งที่ต้องระลึกถึงเสมอคือวัคซีนไม่ได้ป้องกันการติดเชื้อ แต่สามารถลดความรุนแรงของเชื้อได้ คนทำงานอยู่ในช่วงวัยหนุ่มวัยฉกรรจ์ จะได้ข่าวมาว่าเชื้อ COVID ตัวใหม่คือ Omicron นั้นมีอาการไม่รุนแรงมาก จึงไม่ค่อยกลัว แต่อย่าลืมว่าท่านเป็นแหล่งแพร่เชื้อได้ เมื่อกลับไปบ้านอาจไปติดคนในครอบครัวของเราซึ่งยังไม่ฉีดวัคซีนและอาจมีกลุ่มเสี่ยงสูงเมื่อเป็นอาการอาจจะรุนแรงกว่าในวัยเรา นอกจากนี้ยังมีอาการซึ่งเรียกว่า POST COVID คืออาการที่เป็นหลัง COVID ซึ่งอาจจะรุนแรงถึงขนาดทำงานไม่ได้ ปัจจุบันพบมากขึ้นเรื่อย ๆ การเป็น COVID หลายๆ คนในประเทศ มีผลกับระบบสุขภาพ ผู้ที่ป่วยจะไปพบแพทย์จำนวนมาก ทำให้ระบบสาธารณสุขตึงตัวขึ้นมาอีก การติดเชื้อจำนวนมากทำให้เกิดการกลายพันธ์ สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินชีวิตของเราเอง และประชาชนอื่น ๆ ทำให้งานต้องติดขัด ถ้ามีคนติดเชื้อจำนวนมาก ปัจจุบันยังไม่มียารักษาโรคนี้เด็ดขาดหรือวัคซีนที่ป้องกันโรคได้ 100%  เราควรป้องกันตนเองและป้องกันผู้อื่น เมื่อต้องออกมาทำงาน ไม่ลืมมาตรการ DMHTT คือ พยายามอย่าอยู่ในฝูงชนหรืออยู่ใกล้ชิดผู้อื่นมากเกิน 1 เมตร ใส่หน้ากากอนามัย เพราะเชื้อไวรัสสามารถกระจายในอากาศได้นาน จึงต้องใส่หน้ากากอนามัยชนิด medical grade หรือใส่หน้ากากอนามัยและใส่หน้ากากผ้าทับ ไม่จำเป็นต้องใส่ N95 ล้างมือบ่อยๆ ก่อนหยิบจับสิ่งของ เพื่อไม่ให้เชื้อแพร่กระจายจากตัวเรา และหลังหยิบจับสิ่งของควรใช้ alcohol spray หรือ alcohol gel 70% ล้างมือ ตรวจวัดอุณหภูมิทุกครั้งก่อนเข้าสถานที่ต่าง ๆ  ควร scan application ไทยชนะจะได้แจ้งข้อมูลหากพบผู้ติดเชื้อ              นายแพทย์เกรียงไกร นามไธสง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลนพรัตนราชธานี ได้กล่าวเพิ่มเติมสถานที่ทำงานให้ใส่หน้ากากและควรเหลื่อมเวลาทำงานและเวลาพักรับประทานอาหาร หรือให้ทำงานที่บ้านเพื่อลดความแออัดในที่ทำงาน ต้องมีมาตรการป้องกัน เช่นการเว้นระยะห่างเก้าอี้ เนื่องจากเชื้อ omicron นี้ ไม่มีอาการในคนแข็งแรง จึงอาจจะต้องมีการตรวจ ATK ในหน่วยงานเป็นประจำ รวมทั้งจะต้องทราบว่าเมื่อมีอาการจะต้องอยู่ที่บ้าน และตรวจ ATK ด้วยตนเองด้วย เพื่อไม่ให้แพร่เชื้อให้ผู้อื่น ดังที่กระทรวงให้ใช้มาตรการ VUCA คือต้องฉีดวัคซีน ป้องกันตัวเองตลอดเวลารอบทิศทาง การทำให้สถานที่ทำงานเราและที่บ้านเป็นที่ปลอดภัยจากโควิด (COVID FREE) และการตรวจ ATK เป็นประจำ

ปริญญา/ข่าว

***********************************

กรมควบคุมโรค แนะเยาวชนยึดหลัก Start Safe SEX, Use Condom : รักปลอดภัยเริ่มที่ "ถุงยางอนามัย"

          กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข แนะเยาวชนในช่วงเดือนแห่งความรักหรือวันวาเลนไทน์ปีนี้ ขอให้ยึดหลัก Start Safe SEX, Use Condom : รักปลอดภัยเริ่มที่ "ถุงยางอนามัย" ถือเป็นการรับผิดชอบต่อคู่รัก และตัวเราเองให้ปลอดภัยจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

          นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า เทศกาลแห่งความรัก 14 กุมภาพันธ์ของทุกปี มักมีการแสดงความรักให้กัน การมอบของขวัญ ดอกไม้ ช็อกโกแลต รวมทั้งการแสดงออกถึงความรักด้วยการมีเพศสัมพันธ์ และโดยเฉพาะวัยรุ่นบางส่วนที่ตัดสินใจมีเพศสัมพันธ์ โดยไม่ป้องกันด้วยถุงยางอนามัย ซึ่งอาจทำให้เกิดการตั้งครรภ์โดยไม่พร้อมหรือติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้

        จากสถานการณ์โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ของประเทศไทย ในปี 2563 อัตราป่วยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ 5 โรคหลัก ในทุกกลุ่มอายุ คิดเป็นร้อยละ 33.6 ต่อประชากรแสนคน โรคที่มีอัตราป่วยสูงสุดและมีแนวโน้มสูงขึ้น คือ โรคซิฟิลิส รองลงมาคือ โรคหนองใน โรคหนองในเทียม โรคแผลริมอ่อน และโรคกามโรคของต่อมและท่อน้ำเหลือง คิดเป็นร้อยละ 16.4, 11.9, 3.1, 1.8 และ 0.4 ต่อประชากรแสนคน ตามลำดับ โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนอายุ 15-24 ปี มีอัตราป่วยโรคซิฟิลิสค่อนข้างสูงในรอบ 5 ปี จากปี 2559 เท่ากับร้อยละ 13.7 เพิ่มเป็นร้อยละ 50.4 ต่อประชากรแสนคน ในปี 2563 และพบอัตราป่วยด้วยโรคหนองในเท่ากับร้อยละ 58.8 ต่อประชากรแสนคน และคาดว่าในอนาคตมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น สอดคล้องกับข้อมูลจากการสำรวจเฝ้าระวังพฤติกรรมเสี่ยงที่สัมพันธ์กับการติดเชื้อเอชไอวี (BSS) ของกองระบาดวิทยาปี 2562 พบว่า เยาวชนมีอัตราการใช้ถุงยางอนามัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์ครั้งล่าสุด ประมาณร้อยละ 80 ซึ่งยังมีบางส่วนที่ยังไม่ใช้ถุงยางอนามัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์  

          กรมควบคุมโรค จึงแนะนำหลัก Start Safe SEX, Use Condom : รักปลอดภัยเริ่มที่ "ถุงยางอนามัย"  เพื่อเป็นแนวทางให้กับเยาวชนได้เห็นถึงความสำคัญในการป้องกันตนเองและคู่ให้ปลอดภัยจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และเอชไอวี ตลอดจนส่งเสริมการใช้ถุงยางอนามัยให้เป็นเรื่องปกติในการดูแลสุขภาวะทางเพศ รวมถึงการมีความรับผิดชอบต่อคู่และสังคม โดยยึดหลัก ดังนี้ รักปลอดภัย (Safe SEX) การมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัยอย่างมีสุขภาวะทางเพศที่ดี โดยการพกอุปกรณ์ป้องกัน และหากพบว่าตนเองมีความเสี่ยงควรเข้ารับการคัดกรอง หรือหากมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ควรรีบเข้ารับการรักษาโดยเร็ว พร้อมชวนคู่ มาตรวจด้วย นอกจากนี้คุณแม่ที่มีเชื้อซิฟิลิส สามารถถ่ายทอดเชื้อไปสู่ทารกในครรภ์ได้  ดังนั้น ควรเข้ารับการฝากครรภ์โดยเร็วก่อนอายุครรภ์ 12 สัปดาห์ เพื่อคัดกรอง และรักษา เพื่อลดการถ่ายทอดเชื้อไปสู่ทารกในครรภ์ได้ จึงอยากให้ทุกคนเริ่มที่การมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย ด้วยการ ใช้ถุงยางอนามัย (Use Condom) อย่างถูกวิธีทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ โดยเลือกให้ถูกไซส์ ใช้ให้ถูกสเต็ป เก็บและทิ้งให้ถูกวิธี ซึ่งถุงยางอนามัยเป็นอุปกรณ์ชนิดเดียวที่สามารถป้องกันได้ทั้งเชื้อเอชไอวี โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และการตั้งครรภ์ที่ไม่พร้อม การใช้ถุงยางอนามัยไม่ได้หมายความว่าไม่เชื่อใจต่อกัน แต่เป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อตนเองและคู่ เพียงเริ่มต้นด้วยการหยิบถุงยางอนามัยมาใช้ทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ก็จะทำให้คุณมีรักที่ปลอดภัย ไร้โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้

        ทั้งนี้ กองโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ได้จัดบริการตรวจคัดกรอง 6 โรคฟรี ได้แก่ การติดเชื้อเอชไอวี ซิฟิลิส หนองใน หนองในเทียม ไวรัสตับอักเสบบีและซี ตลอดเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ณ คลินิกบางรัก ชั้น 9 อาคารศูนย์การแพทย์บางรัก สอบถามเพิ่มเติม โทร. 0 2286 2465 หรือสายด่วนกรมควบคุมโรค 1422

ปริญญา/ข่าว

*********************************************

เกษตรกรทั่วประเทศ จับมือลดราคาหมูหน้าฟาร์ม ช่วยค่าครองชีพประชาชน ต่อเนื่องสัปดาห์ที่ 6 

          นายสุนทราภรณ์ สิงห์รีวงศ์ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคเหนือ เปิดเผยว่า เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรร่วมกันลดราคาสุกรมีชีวิตลงทั่วประเทศ โดยประกาศราคาแนะนำสุกรขุนมีชีวิตหน้าฟาร์ม วันพระที่ 9 กุมภาพันธ์ 2565 ปรับราคาดังนี้ ภาคตะวันตก 94 บาทต่อกิโลกรัม ภาคตะวันออก 94 บาทต่อกิโลกรัม ภาคอีสาน 94-96 บาทต่อกิโลกรัม ภาคเหนือ 96 บาทต่อกิโลกรัม และภาคใต้ 97 บาทต่อกิโลกรัม หวังช่วยผลักดันเนื้อสุกรจำหน่ายปลีกราคาลดลง เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลดครองชีพแก่ผู้บริโภค โดยขณะนี้ห้างค้าปลีกได้ร่วมจำหน่ายเนื้อหมูราคาประหยัด อาทิ ห้างแม็คโคร จำหน่ายหมูเนื้อแดง “ราคาพิเศษ สะโพกหมู กิโลกรัมละ 150 บาท” 

          "เกษตรกรทุกคนเล็งเห็นถึงความเดือดร้อนด้านค่าครองชีพของพี่น้องประชาชน จึงจับมือกันลดราคาหมูเป็นหน้าฟาร์มอยู่ในระดับต่ำกว่า 100 บาทต่อกิโลกรัม ปัจจุบันราคาเฉลี่ยลงมาอยู่ที่ 94-97 บาทต่อกิโลกรัม เพื่อให้ราคาหมูขายปลีกหน้าเขียงปรับตัวลงมาในระดับที่เหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน ซึ่งเป็นไปตามกลไกตลาดที่แท้จริง ที่ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถซื้อหาเนื้อหมูมาบริโภคได้อย่างทั่วถึง เป็นการกระตุ้นการบริโภคเนื้อสุกร และประคับประคองทุกคนให้ก้าวผ่านปัญหาต่างๆไปด้วยกัน สอดคล้องกับนโยบายของภาครัฐที่ต้องการช่วยเหลือประชาชนลดภาระค่าใช้จ่าย" นายสุนทราภรณ์ กล่าว

          นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคเหนือ กล่าวอีกว่า เกษตรกรผู้เลี้ยงต่างร่วมกันรักษาระดับราคาหมูหน้าฟาร์มและมีมติร่วมกันในการปรับลดราคามาอย่างต่อเนื่อง 6 สัปดาห์ที่ผ่านมา แม้ว่าต้นทุนการเลี้ยงสุกรในไตรมาสที่ 1/2565 จะปรับขึ้นมาสูงถึง 94.69 บาทต่อกิโลกรัม จากการที่เกษตรกรต้องยกระดับเพิ่มระบบความปลอดภัยทางชีวภาพ (Biosecurity) และต้องลงทุนกับสารเสริมต้านไวรัสเพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันแก่ตัวสุกร ถึงแม้ระดับราคาจำหน่ายจะต่ำกว่าต้นทุนการเลี้ยงแล้วก็ตาม แต่เกษตรกรก็ยินดีที่จะร่วมฝ่าวิกฤติต่างๆไปกับประชาชน

ปริญญา/ข่าว

*************************************

นายก ส.กุ้งไทย เผยเจ้ากระทรวงเกษตรตอบรับ ผลิตกุ้งให้ได้ปีละ 400,000 ตัน ภายใน 2 ปี พร้อมทวงคืน 500,000 ล้านบาท ที่เสียหาย/เสียโอกาสไป พลิกฟื้นอุตฯกุ้ง กลับมาเป็นสินค้าสำคัญ-พลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย

         นายเอกพจน์ ยอดพินิจ นายกสมาคมกุ้งไทย พร้อมด้วยผู้แทนอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องตลอดสายห่วงโซ่การผลิต เข้าพบ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมหารือแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเพื่อความยั่งยืนของประเทศ ร่วมด้วย นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ,นายสมชวน รัตนมังคลานนท์ รักษาราชการอธิบดีกรมประมง และ นายเฉลิมชัย สุวรรณรักษ์ รองอธิบดีกรมประมง ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรฯ

          นายเอกพจน์ ยอดพินิจ เปิดเผยว่า นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่งของอุตสาหกรรมกุ้งไทยที่ฯ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรฯ เล็งเห็นความสำคัญของสินค้ากุ้ง รับปาก ยืนยันช่วยผลักดันเต็มที่เพื่อให้ประเทศไทยสามารถผลิตกุ้งให้ได้ปีละ 400,000 ตันภายใน 2 ปี สอดคล้องกับนโยบายกระทรวงเกษตรฯ ที่สำคัญพร้อมทวงคืน 500,000 ล้านบาท ที่เสียหาย/เสียโอกาสไปอันเนื่องจากการระบาดของโรค พลิกฟื้นอุตกุ้งฯ ให้กลับมาเป็นสินค้าสำคัญของประเทศ เป็นวาระแห่งชาติ เพื่อพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ด้วยที่ผ่านมา ปี 2553 เคยผลิตได้สูงสุดถึง 640,000 ตัน เป็นผู้นำการผลิตและส่งออกกุ้งของโลก ทำรายได้เข้าประเทศจากส่งออกเป็นมูลค่ากว่า 100,000 ล้านบาท แต่ปัจจุบันผลิตได้เพียง 280,000 ตัน มูลค่าส่งออก-(ตัวเล ม.ค.-พ.ย. 2564) อยู่ที่ 43,000 ล้านบาท

          ขณะที่ ดร.ผณิศวร ชำนาญเวช นายกสมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย ยืนยันว่ากำลังการผลิตของโรงงานห้องเย็นแปรรูปกุ้ง ปัจจุบันที่เหลือดำเนินการอยู่ประมาณ 20 แห่ง รวมกับโรงงานฯ ที่อยู่ในสภาพพร้อมที่จะผลิตกุ้งได้อีก 15-30 แห่ง (ที่ตอนนี้หยุดไป) พร้อมรับกุ้งเพื่อแปรรูปส่งออก ได้ถึง 400,000 ตัน คุณภาพกุ้งไทย ยังคงเป็นอันดับหนึ่งของโลก แต่ผู้แปรรูปส่งออกไม่สามารถรับออเดอร์ได้เพราะไม่มั่นใจว่าจะมีกุ้ง ทำให้เสียโอกาสไปเพราะมีผลผลิตไม่เพียงพอ จึงควรเร่งผลักดันให้กลับมาผลิตให้ได้

           “การเข้าพบพณฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ และคณะผู้บริหารที่เกี่ยวข้อง ของตัวแทนห่วงโซ่อุปทาน ตลอดสายการผลิตสัตว์น้ำอย่างพร้อมเพรียง นับเป็นนิมิตหมายที่ดีของอุตฯ การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของประเทศ ท่านรัฐมนตรีว่าการฯ เปิดโอกาสรับฟังข้อเสนอต่างๆ จากตัวแทนทุกภาคส่วนอย่างเต็มที่ และยืนยันว่าจะดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ ตามข้อเสนอ และมอบหมายให้กรมประมงเร่งดำเนินการ รวมถึงประสานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกุ้ง การที่ท่านได้รับปากเข้มแข็ง พร้อมปฏิบัติการเชิงรุก และสนับสนุนความพร้อมแก่เกษตรกร และรูปแบบการเลี้ยงกำจัดโรคกุ้งให้หมดไปอย่างชัดเจน ฯลฯ เพื่อให้ไทยกลับมาเป็นผู้นำการผลิตและส่งออกกุ้งอีกครั้ง ทำให้ชาวกุ้งยิ้มได้ เห็นความหวัง เชื่อมั่นว่าทำได้อย่างแน่นอน” นายกสมาคมกุ้งไทย กล่าว

         ทั้งนี้ ผู้ร่วมหารือ ประกอบด้วย นายบรรจง นิสภวาณิชย์ ประธานสมาพันธ์การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำไทย นายสมชาย ฤกษ์โภคี นายกสมาคมผู้เลี้ยงกุ้งทะเลไทย นางสาวพัชรินทร์ จินดาพรรณ นายกสมาคมกุ้งตะวันออกไทย นายสมาน พิชิตบัญชรชัย นายกสมาคมผู้เพาะเลี้ยงปลาไทย นายสุทธิ มะหะเลา นายกสมาคมผู้เพาะเลี้ยงปลาทะเลไทย ดร.ผณิศวร ชำนาญเวช นายกสมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย ตัวแทนสมาคมสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย นายมานิตย์ จิตรชุ่ม นายกสมาคมการค้าปัจจัยการผลิตสัตว์น้ำ นายชัยภัทร ประเสริฐมรรค ประธานชมรมผู้เลี้ยงกุ้งสุราษฎร์ธานี นายพรชัย บัวประดิษฐ์ ตัวแทนกลุ่มแปลงใหญ่ปลานิลชลบุรี และคณะ

ปริญญา/ข่าว

****************************************

Visitors: 219,183